ตำรวจ-พัฒนาสังคมฯ เร่งสอบสวน หลังกันจอมพลัง นำครอบครัวเด็กอายุ 11 เดือน ร้อง ก.ยุติธรรม ผ่าชันสูตรศพ เสียชีวิตปริศนา
14 มิ.ย. 2566, 14:44
ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข (ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม) อาคารกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ "กัน จอมพลัง" ได้พา น.ส.พรนิภา คงสติ พร้อม นายคมกฤช พึ่งทองหล่อ พ่อแม่ของ ด.ช.เอ (นามสมมุติ) อายุ 11 เดือนเสียชีวิตจากสมองถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เข้าพบ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วรวีร์ ไวยวุฒิ รอง ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และ นายธีรยุทธ แก้วสิงห์ โฆษกกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อขอให้ตรวจชันสูตรศพหาสาเหตุการเสียชีวิตและขอเยียวยาช่วยเหลือตามพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาซึ่งมางด้านนายกัณฐัศว์ หรือ “กัน จอมพลัง” เปิดเผยว่า แม่น้อง ด.ช.เอ ติดต่อขอให้มาช่วยเหลือหลังจากเด็กมีอาการหมดสติ ชักเกร็ง เป็นเจ้าชายนิทรามา 2 สัปดาห์ แต่ตนติดภารกิจไม่มีโอกาสเยี่ยม กระทั่งน้องเสียชีวิตเมื่อวานนี้(12มิ.ย.)แพทย์วินิจฉัยว่าสมองเกิดการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง โดยวันนี้ตนจึงพาครอบครัวน้องผู้เสียชีวิตมาขอให้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมผ่าชันสูตรศพหาสาเหตุที่แท้จริง และขอ กรมคุ้มครองสิทธิฯ ช่วยเหลือเยียวยาตามขั้นตอน ส่วนทางคดีความได้ลงบันทึกประจำวัน สภ.บ้านบึง ไว้แล้ว
ล่าสุดวันนี้ เวลา 15.00 น.ที่สถานีตำรวจภูธรบ้านบึง พ.ต.ท.วินัย ตระกูลไทย สารวัตร(สอบสวน)สภบ้านบึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั้นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี ได้เชิญนางปราณี พรมคำน้อย อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นเพื่อบ้านมาสอบถามที่รู้จักกับพี่เลี้ยง ขณะเดินทางมาฐานะผู้อยู่ในเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ โดยให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนว่าตนเองได้นั่งพูดคุยกับพี่เลี้ยง(ที่ชื่อป้ายีนส์) อยู่หน้าบ้านและได้ยินเสียงร้องของเด็กโดย ป้ายีนส์(พี่เลี้ยง)จึงเข้าไปดู และบอกกับตนเองว่าเด็กมีอาการชักเกร็ง จึงให้พี่เลี้ยงนำเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวจนเด็กเสียงเงียบลงจากนั้นจึงขอให้เพื่อนบ้านที่รู้จักกันพาไปส่งที่โรงพยาบาลบ้านบึงแต่ตนเองไม่ได้เดินทางไปด้วยส่วนทางด้านนางนิด(พี่เลี้ยงอีกคนเสื้อเทา)เล่าว่าเลี้ยงดูแลน้องภูพามาประมาณ 1 เดือน กล่าวว่าไม่เคยใช้ความรุนแรง หรือทุบตี ทำร้าย น้องวิ่งเล่นตามปกติ ไม่ได้ตีหรือทำร้าย ซึ่งวันเกิดเหตุได้ยินเสียงเด็กร้อง จึงไปดูก็พบว่าเด็กมีอาการหมดสติจึงรีบพาไปส่งรพ.สำหรับวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวทั้งพี่เลี้ยงเด็กทั้งสองคน มาสอบถามข้อเท็จจริง ยังไม่ตั้งข้อกล่าวหาใครทั้งสินทุกคนที่เชิญมามาในวันนี้เป็นการสอบพยานต่อมาล่าสุดทางผู้สื่อข่าวได้เดินทางมายังที่บ้านเลขที่ 209/242 ภายในโครงการเอื้ออาทร หนองแก เขตเทศบาลเมืองบ้านบึง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นบ้านที่รับเลี้ยงดูแล ด.ช.เอ (นามสมมุติ)พบว่าบ้านปิดเงียบบริเวณรอบๆบ้านนั้นยังมีเครื่องใช้ในการเลี้ยงเด็กเล็ก เช่นเปลโยก รถนั่งเด็กหัดดื่น และของเล่น ตั้งอยู่ ต่อมาได้มีหน่วยงานจากพัฒนาสังคมและความมั้นคงจองมนุษย์จังหวัดชลบุรี พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านบึง ได้เดินทางมาพร้อมกับ น.ส.พรนิภา คงสติ และ นายคมกฤช พึ่งทองหล่อ ซึ่งเป็นพ่อแม่ของ ด.ช.เอ(นามสมมุติ)อายุ11เดือนโดยมาถึงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้ยืนชี้บ้านที่เกิดเหตุเพื่อบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานโดยยังไม่ยินยอมให้ผู้สื่อข่าวเข้าพูดคุยหคือสัมภาษณ์แต่อย่างไดหลังจากนั้นก็ได้นำขึ้นและขับออกไปทันทีต่อมาทางผู้สื่อข่าวได้สอบถามกับนางสาวรัตนาภรณ์ พันธ์กง อายุ 37 ปี เพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไปประมาณ3หลัง และยังเป็นคนที่ช่วยเหลือนำ ด.ช.เอ (คนเสียชีวิต)นำส่งโรงพยาบาล พร้อมกับเล่าว่าช่วงนั้นเวลาประมาณ18.00น.ตนเองกำลังล้างของอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านและจังหวะนั้นได้ยินเสียงพี่เลี้ยงได้ร้องเรียกให้ช่วยนำ ด.ช.เอ ส่งโรงพยาบาลทีซึ่งตอนนั้นตนจึงรีบร้องเรียกให้สามีออกมาจากบ้านและนำรถออกไปส่งเด็ก แต่พอเมื่อกำลังนำ เด็กไปส่ง ระหว่างทางก็เห็นว่าเด็กนั้นมีอาการหายใจเฮื๊อกๆเหมือนจะขาดใจ และร่างกายอ่อนปวกเปียก เท้าเย็น มีอาการไม่ดี พอเมื่อไปถึงโรงพยาบาลทางเจ้าหน้าที่ก็รีบนำเด็กเข้าห้องฉุกเฉินทันที ขณะนั้นตนเองและสามีพร้อมกับคนเลี้ยงก็ไก้นั้งรอดูอาการอยู่ที่หน้าห้องประมาณ1ชั่วโมงทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ออกมาแจ้งว่าเด็กนั้นมีเลือกคลั่งในสมอง และต้องส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลชลบุรีอย่างเร่งด่วน หลังจากนั้นตนจึงได้กลับบ้านพร้อมรีบให้สามีโทรหาพ่อและแม่ของเด็กทันทีให้รีบมาดูส่วนบ้านที่รับเลี้ยงเด็กหลังนี้เคยเปิดบ้านรับเลี้ยงมาแล้วที่ซอยถัดไป และได้ย้ายมาอยู่บ้านที่เกิดเหตุได้ประมาณ3เดือน ช่วงแรกๆนั้นจะมีเด็กมาให้เลี้ยงอยู่3-4คนซึ่งช่วงนั้นตนเห็นว่าเด็กส่งเสียงร้องบ่อยมากและยังเอาเด็กออกมาตีหน้าบ้านหลังจากนั้นก็เห็นว่ามีเด็กมาให้เลี้ยงน้อยลง จนมาเกิดเหตุดังกล่าวส่วนทางด้านนางเอื้องคำ แก้วใส อายุ45ปี ซึ้งเป็นเพื่อนบ้านอีกหลังหนึ่งมี่อยู่ใกล้กัน เล่าให้ฟังว่าตนเองมักจะได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่เป็นประจำ และจะได้ยินเสียงพี่เลี้ยงดูเด็กดุด่าต่อว่าบ่อยครั้ง เด็กก็ยิ่งกลัว ตนเองได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสงสารเมื่อเรายิ่งเห็นเด็กร้องก็ยิ่งรู้สึกสงสารมากยิ่งขึ้น