ชาวบ้านโคราชกว่า 50 หลังคาเรือน ร้องเรียนผ่านสื่อ หลังถูกโรงสีแห่งหนึ่งจัดสรรโครงการบ้านและที่ดินขาย ผ่อนหมด 15 ปีแต่กลับไม่ได้โฉนด
24 ม.ค. 2566, 09:07
วันที่ 24 มกราคม 2566 ชาวบ้านบ้านร่มเย็น หมู่ 8 ตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา กว่า 50 หลังคาเรือน ใด้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือโดยมีข้อความว่า ผ่อนหมดมา 15 ปีแล้ว ยังไม่ได้โฉนดเลย พร้อมถือเอกสารสัญญาซื้อขายบ้านเลขที่ดิน ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน หลังจากซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ที่มีการจัดสรรขายโดยมีโรงสีแห่งหนึ่งในพื้นที่ เป็นเจ้าของโครงการ หลังจากผ่อนไป 15 ปี จนหมด แต่ชาวบ้านก็กลับยังไม่ได้โฉนด อีกทั้งยังมีธนาคารเข้ามาถ่ายรูปบ้านเพื่อทำการอายัดทรัพย์สิน จึงทำให้ชาวบ้านเกรงกลัวว่าจะไม่มีที่อยู่อาศัย
หนึ่งในชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ได้มีโรงสีแห่งนึงในพื้นที่ได้มีการสร้างบ้านและที่ดินขาย จึงสนใจและติดต่อซื้อขายการเกิดขึ้น โดยตรงตกลงทำสัญญาซื้อขายบ้านเลขที่ดินบนเนื้อที่ 71.71 ตารางวา ผ่อนเดือนละ 2,839 บาท จำนวน 180 งวด ในราคา 510,975 บาท โดยมีการทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2548 จนกระทั่งผ่อนชำระจนเสร็จสิ้นเป็นระยะเวลา 15 ปี แต่ก็ยังไม่ได้โฉนด โดยทางโรงสีแห่งอ้างว่า โฉนดดังกล่าวติดอยู่กับธนาคาร จึงไม่สามารถที่จะโอนโฉนดมาให้ได้ และได้มีการขอที่จะจ่ายค่าที่และบ้านเพียง 30% อ้างว่าบ้านได้มีการเสื่อมสภาพลงแล้ว ซึ่งตนเองไม่สามารถที่จะรับได้ เพราะที่ดินมีแต่ขึ้นหากตนเองรับเงินดังกล่าวก็เท่ากับขาดทุน และหากธนาคารเข้าทำการยึดที่ดินดังกล่าวตนก็ไม่มีที่อยู่อาศัย จึงอยากร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน
นายณัฐวัชต์ เกียรติโพธิ์ อายุ 55 ปี แกนนำชาวบ้าน เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนทราบเรื่องก็รับกับเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้จึงต้องการจะเป็นกระบอกเสียงสะท้อนไปยังสื่อมวลชน ให้บอกต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนกว่า 50 หลังคาเรือน ซึ่งอนาคตอาจจะถูกธนาคารมายึดทรัพย์ได้ ทั้งที่ผ่อนหมดมาแล้วตามระยะเวลา 15 ปี แต่ก็กลับยังไม่ได้โฉนด ซึ่งตนก็ทราบว่าโรงสีดังกล่าวกำลังถูกฟ้องล้มละลาย ซึ่งอาจจะมีผลต่อโครงการนี้ด้วยเพราะเห็นธนาคารได้เข้ามาถ่ายภาพ หากมีการอายัดทรัพย์จริง จะทำให้พี่น้องเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งที่ผ่อนหมดแล้วแต่กลับไม่ได้โฉนด จึงทำให้ชาวบ้านทนทุกข์ทรมานนอนไม่หลับ หากไม่เป็นผลจะมีการรวมตัวกันไปร้องเรียนจากสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือนายกรัฐมนตรีต่อไป