เจ้าของร้านชาบู ทุกข์ระทม รายได้เป็น 0 แถมโดนโจรงัดร้านอีก
5 ส.ค. 2564, 12:40
เฟซบุ๊ก Jack Kittisak เจ้าของร้านชาบู ออกมาโพสต์ระบาย หลังเพิ่งเปิดร้านชาบูไปเมื่อ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา แต่กลับมาโดนวิกฤติโควิด โดยเล่าว่า
เปิดร้านไป 1 เดือนเป็นการล้มครั้งแรก เมื่อเจอคลัสเตอร์ทองหล่อ ร้านอาหารถูกสั่งให้ปิด 3 ทุ่ม ปกติร้านตนเปิด 1 ทุ่ม เท่ากับว่ามีเวลาขาย 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่เมื่อรัฐสั่งมาก็ต้องทำ ช่วงนั้นกัดฟันมาก รายได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเงินเข้าร้านเลย
หลังจากนั้นเวลาผ่านไป คิดว่าสถานการณ์คงผ่อนปรนบ้าง รัฐคงไม่ปล่อยให้ร้านอาหารตายแบบนี้ทั้งกรุงเทพฯ แต่สุดท้ายบรรยากาศก็ไม่ได้ดีขึ้น ยอดคนติดเชื้อไม่ได้ลดลงวันหนึ่งรัฐประกาศให้เดลิเวอรี่เท่านั้น โดยประกาศตอนตี 1 ซึ่งเรื่องนี้ชาวเน็ตก็วิจารณ์กันขรม ส่วนตนนั้นก็มองหน้าหุ้นส่วน ปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี เพราะร้านเราเดลิเวอรี่ไม่ได้แน่ แต่ก็ขอคิดสู้ เปลี่ยนเมนูอาหาร เช่น ทำข้าวหน้าเนื้อขายด้วย
สุดท้าย ร้านก็มาถึงจุดที่มีรายได้ 0 บาท จึงตัดสินใจปิดร้านแบบไม่มีกำหนด ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเปิดอีกทีวันไหน พยายามปลอบใจตัวเองว่า มีอุปกรณ์ทำมาหากินอยู่ ยังมีของให้เราใช้อยู่ ถ้าวันหนึ่งกลับมาเปิดใหม่ หรือขายของออกไป ก็ยังได้เงินกลับมา เรื่องราวกลับแย่กว่าที่คิด เมื่อร้านถูกงัด ข้าวของถูกยกเค้าไปทั้งตู้แช่เนื้อ เครื่องสไลซ์เนื้อ หม้อชาบู เตาแก๊ส เท่ากับว่า แผนการที่วางเอาไว้ล้มลงทันที ร้านกลับมาเปิดใหม่ด้วยการใช้อุปกรณ์เดิมก็ไม่ได้ จะเอาไปเซ้งต่อเพื่อหาทุนก็ไม่ได้ เพราะโดนขโมยไปหมดแล้ว
ตอนนี้คือเหนื่อยใจมาก รัฐบอกให้ลดเวลาเปิด บอกให้เดลิเวอรี่ ก็ทำตามหมด ที่แย่คือ เขาสั่งให้ปิดร้าน แต่ไม่มีการเยียวยา ปิดแล้วยังไงต่อ ปิดแล้วไม่ตรวจ ปิดแล้วไม่มีวัคซีนดี ๆ แล้วปิดไปเพื่ออะไร ทำไมคนทำร้านอาหารต้องทนทำตามเขาบอกแบบไม่มีความหมายด้วย จนท้ายที่สุดมาตรการนี้ก็ทำให้คนตกงาน คนไม่มีเงิน และก็มีโจรมายกเค้าที่ร้านนี่ไง
อยากให้คนที่เชียร์รัฐบาลมาช่วยดูชีวิตตน ถ้าจะบอกว่าไม่เกี่ยวรัฐบาล หรือรัฐบาลไหนก็ทำมาหากินเหมือนกัน ผมว่ามันไม่ใช่นะ ช่วยเปิดหูเปิดตาเปิดใจกันหน่อย
"ผมจะไม่ค่อยเขียนเรื่องราวตัวเองแบบนี้บ่อย ไม่เคยเอ่ยปากบ่นให้ใครฟัง ผมดิ้นด้วยตัวผมเองมาโดยตลอด ผมสู้ชีวิตกับอะไรก็ตามที่เข้ามาโดยไม่เคยท้อ ผมไม่เคยโกงใคร ผมจริงใจกับมิตรภาพและไม่เคยคิดที่จะขโมยของใครเลยแม้แต่น้อย ผมเอาสิ่งที่ผมถือคือการไม่เบียดเบียนใคร และใช้มันมาตลอด
แล้วถ้าใครรู้จักผม ผมเป็นคนหนึ่งที่เกลียดการที่ไม่แฟร์ที่สุดในชีวิต ผมโกรธโมโหเสียใจและพยายามมองโลกในแง่บวกแบบสุด ๆ พยายามหาพลังงานบวกกับสิ่งที่มีก็แล้ว ครั้งนี้มันมากเกินไป ผมไม่ไหว ผมไม่ไหวจริง ๆ"
ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Jack Kittisak