เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



"อัยการสูงสุด" สั่งรื้อคดี "บอส อยู่วิทยา" ฟ้องปมโคเคนในเลือดเพิ่ม !


4 ส.ค. 2563, 11:22



"อัยการสูงสุด" สั่งรื้อคดี "บอส อยู่วิทยา" ฟ้องปมโคเคนในเลือดเพิ่ม !




เวลาประมาณ 10.15 น. วันที่ 4 สิงหาคม 2563 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวผลการตรวจสอบของคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงการสั่งไม่ฟ้องคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส อยู่วิทยา" ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง ในคกีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต เมื่อปี 2555 ที่มีนายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นหัวหน้าคณะทำงานฯ

 



นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะเลขานุการคณะทำงาน กล่าวว่า คณะทำงานพิเคราะห์สำนวนโดยละเอียด และมีความเห็นดังนี้


1. การที่นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของสำนักงานอัยการสูงสุด ทุกประการ
2. การสั่งคดีของนายเนตร นาคสุข เกี่ยวกับความเร็วรถ คณะทำงานพิจารณาสำนวนโดยละเอียดแล้วมีความเห็นว่า ผลการตรวจเลือดพบสารโคแคน ซึ่งเป็นนาเสพติดให้โทษ จึงให้เสนออัยการสูงสุดดำเนินคดีนี้ เพราะยังไม่หมดอายุความ
3. พยานสำคัญชี้นหนึง มีการให้ข้อเท็จจริงของ ดร.สธน ภาควิชาฟิสิกซ์จุฬาฯ ที่ได้รับเชิญจากกองพิสูจน์หลักฐาน ในคดีนี้ด้วย และลงพื้นที่วันนั้นด้วย และมีความเห็นทางวิชาการเป็นรายงานด้วย จึงเป็นหลักฐานใหม่ทางคดี ที่จะรื้อคดีของนายบอสใหม่ 

 


คณะทำงานตรวจพบข้อเท็จริงจากคำให้การของดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่องความเร็วของรถยนต์คันก่อเหตุ พบว่าไม่มีความสมบูรณ์ เนื่องจากไม่ได้มีการลงพื้นที่จริง รวมถึงมีการยอมรับว่าขั้นตอนการให้ข้อมูลไม่มีความสมบูรณ์ และขัดแย้งกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงของพนักงานสอบสวน จึงถือว่าเป็นหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงใหม่ ที่ควรได้มีการนำสืบเพื่อเริ่มต้นใหม่ของการสืบสวน สอบสวนใหม่ ซึ่งสามารถกระทำได้ตามประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญา อีกขณะนี้ยังไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด


ซึ่งตำรวจได้มีการทำสำนวนฟ้อง ผู้ต้องหา 2 ราย คือ นายบอส, ด.ต.วิเชียร ตั้งแต่ต้น โดนนายวรยุทธ ถูกตั้ง 5 ข้อกล่าวหา คือ ขับรถโดยประมาทให้ผู้อื่นเสียชีวิต, ขับรถโดยประมาทให้ทรัพย์สินเสียหาย, ขับรถเร็ว, ไม่หยุดช่วยเหลือ, ขับรถเร็ว และ เมาแล้วขับ ซึ่งพนักงานสอบสวน มีความเห็นไม่ฟ้องใน 2 ข้อหาตั้งแต่ต้น คือ ขับรถเร็วและเมาแล้วขับ เหลือ 3 ข้อหา

ด้าน ด.ต. วิเชียร ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทให้ทรัพย์สินเสียหาย แต่มีความเห็นไม่ฟ้องเนื่องจากเสียชีวิตแล้ว ซึ่งเมื่อตำรวจทำสำนวนความเห็นส่งต่อมาที่อัยการ ก็มีตั้งองค์คณะ และมีความเห็น 7 มี.ค. ซึ่งอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องตามพนักงานสอบสวน ขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย,ทรัพย์สินเสียหาย และหลบหนี

โดย อัยการแย้งให้สั่งฟ้อง ขับรถเร็ว ส่วนเมาแล้วขับ อัยการเห็นด้วยกับสำนวน ทั้งนี้อัยการพิเศษ, อัยการฝ่าย, อธิบดีฯ เห็นด้วย กับสำนวนที่อัยการสั่ง ทั้ง 3 ข้อหา ในประเด็นที่เห็นแย้งกับตร. , ไม่เห็นด้วยตาม ตร. 1 ข้อหา ซึ่งข้อหา เมาแล้วขับที่สั่งไม่ฟ้อง ต้องแจ้งต่อไปยัง ผบ.ตร. ซึ่งก็มีความเห็นพ้องด้วย แต่เมาแล้วขับเห็นพ้องไม่ฟ้อง

กรณี ด.ต. วิเชียร (ผู้ต้องหาที่ 2 ) จึงระงับคดีไม่ฟ้องปัญหาคือ กระบวนการดำเนินไปตามปรกติ แต่จุดเริ่มต้นของปัญหาคือ เมื่อสำนวนกลับมาจาก ผบ.ตร. ยังยื่นฟ้องไม่ได้ เพราะผู้ต้องหาไม่อยู่ในการควบคุม (ไม่มาพบอัยการ) และมีการร้องเรียนต่อเนื่องโดยใช้พยานใหม่ - เก่าตลอด ซึ่งข้อหายังคงเป็นในกรอบเดิมตลอด จนกระทั่งหมดอายุความในบางคดี

ผลตรวจสอบพบว่า อัยการมีการแจ้งให้ ตร. นำตัวผู้ต้องหามาส่งโดยตลอด จนในที่สุดจึงมีการออกหมายจับในที่สุด โดยพยานและการร้องเรียน ที่เกิดขึ้นจึงเป็นโรคเลื่อนมาโดยตลอด จนประเด็นการสั่งยกฟ้องเกิดขึ้น ม.ค.63 ซึ่งในการสั่งไม่ฟ้องนั้นลงนามโดย นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด

ในส่วนนี้กรอบของการสอบสวนของคณะกรรมการ มีรายละเอียด ดังนี้
1. นายเนตร ได้มีรับมอบหมายถูกต้อง รวมถึงการร้องเรียนที่เกิดขึ้นของนายบอสนั้น ก็เป็นช่องทางตามกฎหมาย

2. ตำรวจใช้ระยะเวลา 6 เดือนในการส่งสำนวนให้อัยการ ในประเด็นเรื่องความเร็วรถ ก็มีการสอบสวน ซึ่งรถคันเกิดเหตุวิ่งทางขวาสุด และมีข้อมูลว่า มีรถกระบะวิ่งของนายจารุชาติ อยู่ช่องกลาง จยย.ของ ด.ต. วิเชียร อยู่ซ้ายสุด

3. คำให้การของนายจารุชาติ 3 วันหลังเกิดเหตุระบุว่า จยย. ของด.ต.วิเชียร เปลี่ยนเลนซ้ายสุด เปลี่ยนมาที่เลนกลาง ทำให้นายจารุชาติ ต้องเบรค เปลี่ยนเลนไปซ้ายสุด และได้ยินเสียงการเกิดอุบัติเหตุ โดยนายจารุชาติ มาให้การภายหลังว่า ตนเองวิ่งมาราวๆ 80-90 กม./ชม.

4. พ.ต.ท. สมยศ และ พ.ต.ท. สุรพล เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ให้ปากคำไว้ว่า ร่องรอยการเฉี่ยวชนไม่ได้เสียหายมาก น่าเชื่อว่าจะไม่ขับเร็ว

5. พ.ต.ท. ธนสิทธิ์ นำภาพจากกล้องวงจรปิดมาตรวจสอบ-พิสูจน์ให้ความเป็นว่า ความเร็ว 177 กม./ชม.

ซึ่งอัยการเชื่อในพยานปากนี้จึงให้สั่งฟ้อง จากนั้นวันที่ 3 ก.ย. 55 เวลา 16.00 น. ได้มีการนำตัวนายวรยุทธไปตรวจเลือด จนพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งหากคิดจากปริมาณที่ตรวจพบ ย้อนกลับไปถึงเวลา 05.20 น. ที่เกิดขึ้น พบว่า จะมีประมาณแอลกอฮอล์สูงเกือบ 400 มก.เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้หมดสติ ทั้งนี้มีพยานในบ้านยืนยันว่า กินหลังเกิดเหตุ

ดังนั้น ประเด็นแอลกอฮอล์ ทั้งอัยการ - พนักงานสอบสวนจึงเห็นพ้องกันในประเด็นเมาแล้วขับ และไม่ฟ้อง แต่สารแปลกปลอมอื่นที่พบ คือโคเคน จะมีประเด็นเพิ่มเติมภายหลัง ดังนั้น ประเด็นความเร็ว อัยการไม่เชื่อเห็นแย้งให้ฟ้อง ผู้ต้องหาจึงนำประเด็นไปร้องเรียนข้อความเป็นธรรมเพิ่มเติม ท้ายที่สุด พ.ต.ท. ธนสิทธิ์ ก็ได้มีการให้ข้อมูล/เปลี่ยนแปลงความเร็วลงมาเหลือตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้

ในการร้องเรียนผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึง สนช. ทำให้มีพยานทั้งชุดเก่า-ชุดใหม่เข้ามาสอบปากคำ ซึ่งทั้งหมดให้การความเร็วที่ 70-90 กม./ชม. จากหลักฐานในสำนวน, ผลการสอบ ทำให้นำไปสู่การสั่งไม่ฟ้องในประเด็นความเร็ว ซึ่งคณะทำงานที่ตรวจสอบในครั้งนี้ ก็มีความเห็นว่าผลตรวจพบโคเคน ถือว่า ส่วนนี้เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ซึ่งยังไม่มีการแจ้งความนายบอส จึงเสนออัยการสูงสุด “ดำเนินคดี” ในข้อหานี้

ส่วนประเด็นความเร็วมี พ.ต.ท. ธนสิทธิ์ ที่ระบุ 177 กม./ชม. เพียงปากเดียว จึงเป็นเหตุให้มีการสั่งไม่ฟ้องในประเด็นนี้ ซึ่งถือเป็นสิ้นสุด เว้นแต่มีหลักฐานใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่า คดีสิ้นสุด ซึ่งหลังจากมีข่าวออกไป ดร.สธน ให้ข้อเท็จจริงว่า ได้รับหน้าที่ลง พท.พิสูจน์ ร่วมกับ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ แต่คณะทำงานตรวจสอบแล้ว ไม่พบรายงานชิ้นนี้ในสำนวน ดังนั้น นี่คือพยานหลักฐานใหม่ ดังนั้นคณะทำงานจึงแจ้งไปยัง พนักงานสอบสวนให้เริ่มทำคดีนี้ใหม่

 

 






Recommend News





MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.