ชาวบ้านคลิตี้ร้องศาลปกครอง ตรวจสอบมลพิษ-หยุดฟื้นฟู หลังพบตะกอนในน้ำเกินค่า
18 เม.ย. 2563, 09:37
วันนี้ 18 เม.ย. 2563 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนาเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 ที่ผ่านมาชาวบ้านหมู่บ้านคลิตี้ล่าง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ตะกั่วที่ปล่อยมลพิษจากการทำเหมืองลงสู่ลำห้วยคลิตี้ ทำให้ชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตาย ได้ยื่นหนังสือถึงศาลปกครองกลาง จากกรณีที่กรมควบคุมมลพิษฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ให้ปราศจากมลพิษ ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ให้เร่งไต่สวนโดยด่วน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชาวบ้าน
ในหนังสือระบุว่า หลังจากที่กรมควบคุมมลพิษได้เริ่มดำเนินโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่วตามคำ พิพากษาตั้งแต่ปลายปี 2560 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน กำลังดำเนินงานขั้นตอนการดูดตะกอนตะกั่วท้องน้ำใส่ ถุงเพื่อนำไปฝังกลบในหลุมฝังกลบแบบปลอดภัย ในระหว่างที่มีการดูดตะกอน ชุมชนและผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกรรมการไตรภาคีมีความห่วงกังวลว่าอาจจะเกิดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม จึงได้ตรวจวัดและติดตามเฝ้าระวังการฟุ้งกระจายของตะกอน โดยพบว่ามีการฟุ้งกระจายของ ตะกอนตะกั่วท้องน้ำจนเกิดความขุ่นเป็นระยะทางไกลถึง 4 กิโลเมตร
นอกจากนี้ยังตรวจพบว่าน้ำที่รีดออกมาจากถุง เก็บตะกอนและไหลกลับลงไปในลำห้วยโดยตรงมีค่าตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐานถึงเกือบ 100 เท่า ซึ่งจะมีน้ำและ ตะกอนที่ปนเปื้อนตะกั่วจำนวนมากในลำห้วยคลิตี้ รวมทั้งจากข้อมูลการตรวจวัดความขุ่นของน้ำหลังม่านดัก ตะกอนมีค่าสูงขึ้นกว่าค่าตามธรรมชาติถึงกว่า 10 เท่า หรือ เพิ่มขึ้นเกิน 1000% ซึ่งเกินกว่าที่ข้อกำหนด (TOR) การขุดลอกลำห้วยคลิตี้ฯ กำหนดว่าหากการขุดลอกตะกอนทำให้ความขุ่นเพิ่มขึ้นจากค่าฐานตามธรรมชาติเกิน 10% ให้หยุดขุดลอกชั่วคราวจนกว่าความขุ่นของน้ำจะกลับมาเป็นค่าตามธรรมชาติ
จากการดำเนินการดูดตะกอนตะกั่วดังกล่าวทำให้อาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของ ชุมชนในระยะยาว และจะทำให้การฟื้นฟูดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วได้ตามคำ พิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากมีการฟุ้งกระจายของตะกอนตะกั่วจนเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งอาจเป็น ผลมาจากการดำเนินการฟื้นฟูที่ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ การละเลยไม่ปฏิบัติตามาตรฐานความปลอดภัย ตามข้อกำหนดการดำเนินงานโครงการฯ (TOR) การฟุ้งกระจายของตะกอนดังกล่าวเมื่อดูดตะกอนเสร็จสิ้นแล้ว ธรรมชาติอาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูน้ำที่ปนเปื้อนสารตะกั่วยาวนานกว่า 7 ปี และไม่บรรลุผลตามคำพิพากษา
ทั้งในสถานการณ์ปัจจุบันต้องเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 หน่วยงานรัฐ ออกมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกหมู่บ้านคลิตี้ ทำให้ชาวบ้านในชุมชนที่ปกติเดิมต้องอาศัยอาหารจาก ภายนอกมาบริโภคเพื่อลดความเสี่ยงการปนเปื้อนสารตะกั่ว ก็ไม่สามารถเดินทางออกไปได้ จึงทำให้ต้องจับ สัตว์น้ำ เก็บผักตามลำห้วย และบางครัวเรือนที่ขาดแคลนน้ำ ก็ต้องสูบน้ำขึ้นมาจากลำห้วยมาอุปโภค บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพอนามัยของชาวบ้าน นอกจากจะทำให้ชาวบ้าน มีค่าตะกั่วในเลือดพุ่งสูงขึ้นได้ ก็ยังทำให้เกิดการปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นด้วย
นายสุรพงษ์กล่าวต่อว่า เพื่อให้การฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ตามคำพิพากษาเป็นไปอย่างรอบคอบและปลอดภัยต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ชุมชนคลิตี้ผู้ฟ้องคดีจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาล
1. นัดไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน เพื่อตรวจสอบการดำเนินโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ตามคำพิพากษาโดยวิธีดูดตะกอน ทั้งบริเวณชุมชนคลิตี้บน และบริเวณชุมชนคลิตี้ล่าง 10 จุดที่กำลังดำเนินการอยู่ โดยให้กรมควบคุมมลพิษ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงข้อห่วงกังวลต่างๆ
2. ตรวจสอบแผนงานและข้อกำหนดโครงการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ (TOR) ก่อนเริ่มดำเนินการดูดตะกอนบริเวณลำห้วย
3. มีคำสั่งแจ้งให้กรมควบคุมมลพิษหยุดการดำเนินการฟื้นฟูโดยการดูดตะกอนที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ อนามัย ชุมชนและสิ่งแวดล้อม เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะหามาตรการป้องกันผลกระทบและเยียวยาชุมชนที่เหมาะสมและเป็นธรรมตามหลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary principle)
4. สั่งให้กรมควบคุมมลพิษออกหนังสือรับรองแก่ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในตรวจสอบและเก็บข้อมูลการตรวจวัดการฟุ้งกระจาย โดยเร่งด่วนในระหว่างสถานการณ์จำกัดการเข้าพื้นที่ป้องกันไวรัส COVID -19 ด้วย
หลังจากนี้สำนักบังคับคดีปกครองจะทำหนังสือสอบถามไปยังกรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้ชี้แจงประเด็นในคำร้อง และรอศาลมีคำสั่งว่าจะให้มีการนัดไต่สวนคำร้องต่อไปหรือไม่อย่างไรต่อไป./