สาวโพสต์ทั้งจุก ทั้งเศร้า ภาพแม่กระเตงลูกเดินเร่ข้างทาง บอกตัดสินใจไม่ผิดที่จอดช่วยเหลือ
15 เม.ย. 2563, 10:26
บังเกิดเป็นเรื่องราวที่ได้สร้างทั้งความประทับใจ ความซาบซึ้ง และรู้สึกเศร้าใจไปพร้อม ๆ กัน ต่อโชคชะตาของแม่ และลูกน้อย คู่หนึ่ง ซึ่งถูกเผยแพร่โดย ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า "มิตรสหายท่านหนึ่ง" ได้เล่าเหตุการณ์ที่บังเอิญขับผ่านไปเห็นภาพหญิงสาวเดินกระเตงลูกน้อย เดินไปตามถนน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ก่อนติดสินใจวนรถกลับไปช่วยเหลือ ทำให้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวความน่าสงสารของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต้องทำหน้าที่คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว หลังถูกสามีทิ้ง ซึ่งเป็นปัญหาที่มีต้นตอมาจากความเครียด เมื่อต้องกลายเป็นคนตกงานด้วยกันทั้งคู่
โดยเรื่องมีอยู่ว่า ตนได้ขับรถออกจากโคราช ผ่านลำตะคองก่อนเข้าเขตปากช่องขับรถเลนส์ขวาตลอด ขณะนั้นประมาณ บ่าย 2 โมงครึ่งกว่า ๆ แล้ว แดดยังแรง หางตาแว่บไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เดินกระเตงลูกเข้าเอวตรงเกาะกลางที่มีต้นไม้ปลูกอยู่เป็นแนว แม้จะผ่านแค่แวบเดียวแต่สิ่งที่มองเห็น คือผู้หญิงตัวเล็กผอมกระเตงเด็กข้างเอว กระเป๋าสะพายที่สะพายอยู่มีเสื้อผ้าเหมือนยัดอยู่แบบลวก ๆ มองเห็นเสื้อผ้าที่ออกมานอกกระเป๋าที่ไม่ได้ปิดซิบ มือสองข้างถือถุงที่มีของในนั้นอยู่เต็มถุง เธอเอา 2 มือประสานไว้รอบเอวของเด็ก แล้วก็เดินจ้ำ ๆ ๆ ไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
ช่วงที่ขับรถผ่านเมื่อได้เห็นภาพนั้น ในใจก็คิดไปต่าง ๆ นา ๆ เธอเป็นชาวบ้านแถวนั้นหรือเปล่า? หรือเธอมากับคนที่เดินเก็บขวด เก็บกระป๋องตามไหล่ทางที่เห็นอยู่เป็นระยะ? ถ้าใช่แล้วทำไมต้องสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาแบบนั้น? ระหว่างที่ขับรถไปก็มีคำถามมากมายในหัว ขับรถผ่านยูเทิร์นแรกไปแต่สลัดภาพผู้หญิงคนนั้นกับลูกของเธอไปไม่ได้ จนผ่านไปอีกไกลกระทั่งเห็นยูเทิร์นอีกครั้งไกล ๆ ระหว่างนั้นความคิดมันก็ตีกันไปเรื่อย จนกระทั่งตัดสินใจยูเทิร์นเพื่อที่จะกลับไปดูผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ในขณะที่ยูเทิร์นก็บอกกับตัวเองว่า ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้ หรืออะไรก็ตามก็จะไม่เสียใจในสิ่งที่ตัดสินใจจะทำลงไป ดีกว่าปล่อยผ่านไปไม่ทำอะไรเลยแล้วก็ปล่อยให้มันติดค้างในใจต่อไปแบบนี้
หลังจากยูเทิร์นก็ขับรถย้อนกลับไปทางเดิม และมองหาฝั่งตรงข้ามภาวนาให้ไม่เจอ เพราะถ้าไม่เจอก็หมายความว่าเค้าคงเป็นคนแถวนั้นจริง ๆ จากที่ผ่านมา 2 ยูเทิร์น ค่อนข้างไกลพอสมควร ขับไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เห็น 2 แม่ลูกนั้นอีกครั้ง กลับไปยูเทิร์นมาอีกรอบแล้วขับเลย 2 แม่ลูกมาหน่อย เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อจอดฝั่งเกาะกลางชิดขอบข้าง เมื่อดูว่าปลอดภัยจึงมองกระจกเห็นคนเป็นแม่กำลังดูรถจากข้างหลังเพื่อที่จะเดินผ่านรถเราไปให้ปลอดภัย เราเปิดกระจกไว้เมื่อเค้าเดินผ่านจึงถามว่า จะไปไหน ผู้หญิงคนนั้นทำหน้างง ๆ เราจึงถามซ้ำว่า จะไปไหน เขาบอกว่าจะไป บ้านอะไรสักอย่างจำไม่ได้ แต่บอกว่าอยู่สะพานตรงที่จะเข้าหนองสาหร่าย
เลยบอกว่าขึ้นมาสิจะไปส่ง ตอนแรกทำท่าปฏิเสธ แต่เราก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกเราก็จะผ่านทางนั้นอยู่แล้ว แดดเปรี้ยงขนาดนี้สงสารเด็ก ผู้หญิงคนนั้นเลยขึ้นมานั่งบนรถด้วย (ใส่แมสเรียบร้อยทั้งแม่ และเด็ก) แต่พอก้าวขึ้นมาเราก็บอกเขาก่อนว่า พี่ขออนุญาตฉีดสเปรย์แอลกอฮอลล์นะ ไม่ได้หมายความว่าพี่รังเกียจ แต่ตอนนี้ทุกคนควรป้องกันไว้กับโรคที่ระบาดอยู่ตอนนี้ พี่ขออนุญาตนะคะ ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้า และบอกว่า เข้าใจ
ระหว่างทางที่นั่งรถมาด้วยกัน ก็ถามเขาว่าทำไมมาเดินแบบนี้ล่ะ อีกอย่างเดินฝั่งเกาะกลางแบบนี้อันตรายนะ เค้าบอกว่าหนูก็พยายามเดินให้ชิด ๆ ด้านในไว้ ถ้าเดินฝั่งโน้น (ฝั่งริมทางด้านซ้ายที่รถจอดได้ตามปกติ) มันร้อน หนูเดินมาตั้งแต่ 10 โมงแล้ว เดินฝั่งนี้ยังมีร่มของต้นไม้ด้วย สงสารลูกอากาศมันร้อน เราถามว่าทำไมไม่ขึ้นรถล่ะ ที่ที่ไปมันไกลนะ เขาบอกรถไม่ค่อยมี ถึงมีก็ไม่อยากขึ้นเพราะเงินที่มีมันเหลือน้อย เก็บไว้ซื้อนมให้ลูกกิน ถามต่อว่าทำไมมาเดินแบบนี้ล่ะจะไปไหน
พอถามถึงตรงนี้เค้าก็เงียบไปนิดนึง แล้วก็พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า เลิกกับสามี เป็นช่วงที่ตกงานกันทั้งคู่ เครียด ทะเลาะกัน สามีไล่ออกจากบ้าน เอาลูกออกมาด้วย เลยคิดว่าจะเดินไปตรงที่ที่บอก แถวนั้นมีสวนเยอะอาจจะไปลอง ๆ ถามมีงานอะไรให้ทำบ้าง เพื่อนเคยบอกว่าอยู่แถวนั้นหวังว่าถ้าไปจะได้เจอเพื่อน ขอตั้งหลักสักพักยังไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรดี มันมืดไปหมด
ถามไปว่า ตัวเล็กนี่อายุเท่าไร (ขึ้นรถมาเจอแอร์เย็น ๆ หลับตั้งแต่ขึ้นมาเลย) เขาตอบว่า 2 ขวบ ได้แต่บอกไปว่า เอาเถอะ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ คิด คิดถึงตัวเราคิดถึงลูกไว้ให้เยอะ ๆ พูดถึงตรงนี้เค้าก็น้ำตาไหล แต่มองจากกระจกส่องหลังเห็นว่าพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ไม่ให้ได้ยิน ถามว่าแล้วเงิน 5,000 ที่เขาแจกเราได้ลงทะเบียนรับไหม ผู้หญิงคนนั้นบอกหนูทำไม่เป็น โทรศัพท์มีเครื่องเดียวแฟนก็ใช้ อีกอย่างตัวเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรพวกนี้ด้วย เลยไม่ได้อะไรตรงนี้กับเขา ถามว่าถ้าไม่เจอเพื่อนจะทำอย่างไร เขาบอกว่าคงไปขอนอนที่วัดก่อน หนูไม่ยากหรอกชีวิตหนูลำบากมาเยอะแล้ว
ขับมาสักระยะมองเห็นสะพานทางเข้าหนองสาหร่ายอยู่ข้างหน้า เขาบอกว่าให้หนูลงตรงสะพานข้างหน้าก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูเดินต่อเข้าไปเอง เลยบอกว่าไม่เป็นไรหรอกเข้าไปอีกไกลไหมเดี๋ยวพี่ไปส่ง สงสารเด็กกำลังหลับสบายเลย เขาบอกว่าจะไป (ชื่ออะไรสักอย่างจำไม่ได้) มันอยู่เลยตลาดไปหน่อยนึง เลยบอกโอเคพี่พาไปเอง อย่างน้อยก็เดินใกล้ขึ้นมาหน่อย
พอถึงจุดที่จะลง เขาปลุกลูกแล้วก็เตรียมข้าวของ พอจะลงรถเขาก็ยกมือไหว้ขอบคุณ และอวยพรว่า ขอให้คุณเดินทางปลอดภัยนะ ขอให้คุณเจริญ ๆยิ่ง ๆ ขึ้นไป ขออย่าให้อันตรายใด ๆ มาทำร้ายคุณได้นะ เราได้แต่ยิ้ม และบอกขอบคุณ เขากำลังจะลงรถ เราได้ยื่นแมสสำหรับแม่ และเด็ก แบบผ้า ที่พนักงานในร้านทำมาให้ ได้มา 2 ชุด เลยแบ่งให้ไป 1 ชุด เพราะดูแล้วที่เขาใส่อยู่คงผ่านการใช้งานมาหลายวัน บอกว่าอันนี้ใช้แล้วเราซักมาใช้ใหม่ได้ เอาไว้ใช้นะ พร้อมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง ยื่นไปพร้อมกัน เขารับแมสไปพร้อมกับกล่าวขอบคุณอีกหลายรอบ พอพลิกดูอีกด้านเห็นเงินที่แนบไป เขารีบเอาเงินยื่นกลับมาคืน แล้วบอกว่า แค่นี้ก็ช่วยเขามากมายแล้ว เขารับไม่ได้จริง ๆ เลยยื่นกลับไปอีกรอบแล้วบอกว่าเอาไปเถอะ ถึงเราทนได้ แต่ลูกเขาทนแบบเราไม่ได้นะ ถือว่าอย่างน้อยก็ทำให้เรามีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น ๆ ที่จะต้องทำต่อไป
ยกมือไหว้อีกครั้งพร้อมกับบอกว่าหนูไม่รู้จะตอบแทนคุณอย่างไร อยู่ ๆ คุณก็มาช่วยหนูกับลูกแบบนี้ พูดไปน้ำตาก็ไหลไปด้วย ยกมือไหว้และอวยพรซ้ำ ๆ ก่อนจากกันเราได้แต่บอกว่า เข้มแข็ง และอดทนนะ ผ่านมันไปให้ได้ เรามีลูกที่ต้องดูแลโฟกัสที่ลูกนะ พี่ขอให้เรา และลูกผ่านมันไปได้ด้วยสติและความเข้มแข็งนะ
เขาเดินกระเตงลูกขึ้นเอวเพื่อที่จะข้ามถนนไปซอยข้างหน้า ส่วนเรายูเทิร์นรถกลับ ด้วยความรู้สึก จุก ๆ อึน ๆ เศร้า ๆ ขับรถไปน้ำตาไหลไป แต่ก็ดีใจที่การตัดสินใจยูเทิร์นกลับไปวันนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง