จากกรณีคดี 5 โจ๋ รุมกระทืบนายวีระพงศ์ มะสุใส หรืออาท ครูสอนคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากมีเลือดคั่งในสมอง แพทย์ต้องนำเข้าห้องผ่าตัดช่วยเหลือชีวิต ขณะนี้รักษาอาการอยู่ที่หอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย อาคาร 67 ปี โรงพยาบาลนครพนม เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ท้องที่ สภ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม

หลังเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายทั้ง 5 ยังลอยนวล โดยไม่สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์ที่ก่อขึ้น ขณะทางฝ่ายผู้บาดเจ็บก็มีความกังวล ว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงนำภาพอาการของนายวีระพงศ์เผยแพร่ทางสื่อโซเซียล  กระทั่งนักข่าวติดตามนำข้อเท็จจริงมาเสนอ สุดท้าย 5 โจ๋ก็เดินทางไปมอบตัวกับ ร.ต.อ.ฉัตรชัย กองพันธ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.โพนสวรรค์ ประกอบด้วย 1.นายโชคชัย มาปัน หรือก็อต อายุ 20 ปี 2.นายณัฐธวุฒิ ต้ายบุญเทียม หรือปอย อายุ 22 ปี 3.นายลายสือ โยลัย อายุ 23 ปี และเยาวชนอายุระหว่าง 16-17 ปี อีกสองคน

โดยทั้งหมดให้การรับสารภาพ อ้างว่าวันที่เกิดเหตุขณะนั่งดื่มเหล้ากันอยู่นั้น ก็มีคนขว้างขวดเหล้ามาที่โต๊ะ จึงร้องถามไปที่โต๊ะของนายวีระพงศ์ว่า”ใครโยนขวดมาฯ” แต่ไม่มีใครตอบกลับ จากนั้นทั้งหมดก็ลุกไปขึ้นรถ จยย.ขับออกไป พวกตนจึงคิดว่าเป็นคนที่ขว้างขวดเหล้ามาใส่ที่โต๊ะ จึงชวนกันขับรถ จยย.ไล่ตามไปทันที่หน้าโรงพยาบาลโพนสวรรค์ แล้วสั่งให้จอดรถก่อนจะลงไปรุมกระทืบ ถอดหมวกกันน็อคของนายวีระพงศ์ฟาดกระหน่ำจนแน่นิ่ง จึงพากันแยกย้ายกันหลบหนี กระทั่งมีข่าวนำเสนอออกทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และออนไลน์ จึงพากันมามอบตัวดังกล่าว

ล่าสุด วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 08.30 น. มีญาติของผู่ก่อเหตุทั้ง 5 ราย มารับทราบข้อกล่าวหา โดยเบื้องต้นพนักงานสอบสวน ตั้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุได้รับบาดเจ็บแก่กายและอันตรายสาหัส ซึ่งได้ดำเนินการทำประวัติอาชญากรรมตามขั้นตอน ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหา 3 ราย ได้แก่ 1.นายโชคชัย มาปัน หรือก็อต อายุ 20 ปี 2.นายณัฐธวุฒิ ต้ายบุญเทียม หรือปอย อายุ 22 ปี 3.นายลายสือ โยลัย อายุ 23 ปี ส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดนครพนม โดยคัดค้านการประกันตัว ส่วนเยาวชนอีก 2 คน ต้องสอบปากคำที่สำนักงานอัยการจังหวัดนครพนม ต่อหน้าสหวิชาชีพ

ด้าน ร.ต.อ.ฉัตรชัย กองพันธ์ ร้อยเวร เปิดเผยว่า หากได้ผลตรวจทางการแพทย์มาประกอบคดีว่า นายวีระพงศ์ได้รับบาดเจ็บอันตรายมากน้อยแค่ไหน ใช้เวลารักษานานกี่เดือน และจะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือไม่อย่างไร ก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมทีหลัง ซึ่งได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าต้องดูอาการคนเจ็บจนมั่นใจเสียก่อน จึงจะออกใบรับรองได้

ขณะที่ทางญาติของผู้ต้องหา ได้เผยว่าหลังเกิดเหตุก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ไปเยี่ยมอาการผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล เพื่อแสดงเจตจำนงในการเยียวยาค่ารักษาพยาบาล แต่ทางผู้ปกครองของนายวีระพงศ์ยังไม่ตอบรับ จึงอยากขอความเป็นธรรมว่าไม่คิดจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบใดๆ