ครม.รับทราบรายงานประจำปี 66 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
4 มิ.ย. 2567, 14:54
วันนี้ ( 4 มิ.ย.67 ) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานประจำปี 2566 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่ง กสศ. ได้ดำเนินภารกิจโดยมุ่งเน้นการ “ร่วมคิด ร่วมสร้าง และร่วมเป็นเจ้าของ” กับภาคีทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และภาคเอกชน ซึ่งสอดคล้องตามพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561 และแผนกลยุทธ์ของ กสศ. (ปี 2565 – 2567) โดยมีกลุ่มผู้รับประโยชน์สามารถเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและได้รับการพัฒนาทักษะตนเองตามศักยภาพ รวม 2,909,960 คน-ครั้ง มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ 2 ภารกิจ ดังนี้
1.ภารกิจสนับสนุนให้เข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ เป็นการค้นหาแนวทางจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเพื่อสนับสนุนให้เด็ก เยาวชน และประชากรวัยแรงงานผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสได้เข้าถึงการศึกษาหรือการเรียนรู้ด้วยรูปแบบที่เหมาะสม ดังนี้ กลุ่มผู้รับประโยชน์ ได้แก่ 1) เด็กปฐมวัยและเด็กในช่วงชั้นการศึกษา ภาคบังคับ (อายุ 3 - 14 ปี) การดำเนินงาน กสศ. ร่วมกับ 6 หน่วยงานต้นสังกัดสถานศึกษา ประกอบด้วย (1) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (3) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) (4) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (5) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และ (6) สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร ดำเนินโครงการพัฒนาระบบหลักประกันความเสมอภาคทางการศึกษา (การจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขหรือทุนเสมอภาค) เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือให้เด็กและเยาวชนกลุ่มยากจนพิเศษสามารถเข้าถึงและคงอยู่ในระบบการศึกษาทั้งนี้ ได้มีการสนับสนุนและส่งเสริมเด็กและเยาวชนในระดับชั้นอนุบาลจนถึงการศึกษาภาคบังคับ (อนุบาล 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 3) ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส โดยจัดสรรเงินอุดหนุน ให้แก่นักเรียน จำนวน 2,839,253 คน - ครั้ง ทั้งนี้ ในภาคเรียนที่ 2/2565 พบว่า เด็กร้อยละ 95.95 ยังคงอยู่ในระบบการศึกษานอกจากนี้ ได้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการดูแลช่วยเหลือนักเรียนนำร่องใน 28 เขตพื้นที่การศึกษา
2) เยาวชนในระบบการศึกษาระดับชั้นสูงกว่าภาคบังคับ (อายุ 15 - 24 ปี) การดำเนินงาน มีการช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนกลุ่มเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสให้ได้ศึกษาต่อในระดับสูงกว่าการศึกษาภาคบังคับและส่งเสริมการมีงานทำเมื่อสำเร็จการศึกษา โดยเป็นการให้ทุนการศึกษา 3 ประเภท ได้แก่ (1) ทุนนวัตกรรมสายอาชีพขั้นสูง ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง เพื่อสร้างโอกาสให้เยาวชนที่เรียนดีมีฝีมือได้ศึกษาต่อและมีงานทำทันทีหลังสำเร็จการศึกษา (2) ทุนพัฒนาเต็มศักยภาพสายอาชีพหรือทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก เพื่อสร้างโอกาสให้นักเรียนที่เรียนดีระดับประเทศได้ศึกษาต่อในสาขาวิชาชีพที่เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศ (3) ทุนครูรัก(ษ์) ถิ่น ระดับปริญญาตรี เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนในเขตพื้นที่ห่างไกลเป็นครูรุ่นใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนของชุมชน โดยมีผู้ได้รับทุนสะสมรวมทั้ง 3 ประเภท 9,991 คน นอกจากนี้ มีการพัฒนาต้นแบบสถาบันอาชีวศึกษา 105 แห่ง ใน 50 จังหวัด การเตรียมความพร้อมโรงเรียนปลายทางที่บัณฑิตครูรัก(ษ์) ถิ่นจะไปบรรจุเป็นครู 1,269 แห่ง ในพื้นที่ 62 จังหวัด และการพัฒนาต้นแบบสถาบันผลิตและพัฒนาครู 19 แห่ง ให้ตรงตามความต้องการของบริบทพื้นที่
3) เยาวชนนอกระบบการศึกษาและประชากรวัยแรงงานผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส (อายุ 15 – 64 ปี)การดำเนินงาน มีการยกระดับทักษะให้แก่กลุ่มเยาวชนนอกระบบการศึกษาและแรงงานนอกระบบ และมีการขยายผลการดำเนินงานโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้ขยายการเรียนรู้สำหรับเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไปยังศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน จำนวน 21 แห่ง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาระบบดูแลเยาวชนนอกระบบการศึกษากรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการได้พัฒนารูปแบบการสร้างทักษะเรียนรู้สำหรับกลุ่มคนพิการ
2.ภารกิจมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลง เป็นการพัฒนาตัวแบบหรือต้นแบบในการพัฒนาการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ รวมทั้งรูปแบบกลไกการทำงานในระดับพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรม เพื่อลดความเสมอภาคทางการศึกษา ดังนี้
1) การพัฒนาครู โรงเรียน และสถานศึกษา มีการดำเนินโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเองและการขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเอง โดยได้พัฒนาครู นักจัดการเรียนรู้และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 19,050 คน จากโรงเรียน 1,270 แห่ง และมีนักเรียนในโรงเรียนได้รับประโยชน์ 127,000 คน นอกจากนี้ ได้ขยายผลการดำเนินงานโดยภาคีเครือข่ายและหน่วยงานต้นสังกัด ส่งผลให้มีเขตพื้นที่ต้นแบบทางการศึกษาจำนวน 21 เขต และต้นแบบโรงเรียนพัฒนาตนเองใน 10 จังหวัด อีกทั้งได้พัฒนาสมรรถนะครู 685 คน ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนร่วมกับ บช.ตชด. เพื่อให้สามารถจัดการเรียนรู้แก่นักเรียนได้อย่างมีคุณภาพ
2) การจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ มีการพัฒนาตัวแบบการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเพื่อให้การจัดการศึกษามีความสอดคล้องกับปัญหาและบริบทของพื้นที่ ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากปี 2565 ที่ดำเนินการมาแล้ว 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด แม่ฮ่องสอน ลำปาง พะเยา สุโขทัย พิษณุโลก ขอนแก่น สุรินทร์ ระยอง สมุทรสงคราม สุราษฎร์ธานี สงขลา และปัตตานี และเพิ่มเติมอีก 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย นครพนม และยะลา รวมทั้งได้พัฒนาตัวแบบระดับเทศบาล 5 แห่ง ได้แก่ (1) เทศบาลนครยะลา (2) เทศบาลนครตรัง (3) เทศบาลนครอุดรธานี (4) เทศบาลเมืองลำพูน และ (5) กรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้
3) การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา มีการจัดทำงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จำนวน 22 ชิ้นงาน เพื่อตอบโจทย์เขิงนโยบายที่สำคัญของประเทศและมุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบรวมถึงข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น (1) การฟื้นฟูการเรียนรู้ของนักเรียนจากภาวการณ์เรียนรู้ถดถอยที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด – 19 (2) "ห้องเรียนผู้ประกอบการ" นวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตทักษะอาชีพร่วมกันระหว่างเครือข่ายโรงเรียนขยายโอกาสและโรงเรียนนานาชาติ (3) ข้อเสนอแนวทางการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการด้านการศึกษาเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาความไม่เสมอภาคของการจัดสรรทรัพยากรไปยังโรงเรียนที่มีบริบทแตกต่างกัน
4) การเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. ได้ส่งต่อข้อมูลผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้ได้รับโอกาสในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา รวมทั้งร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและสถาบันอุดมศึกษาสนับสนุนทุนการศึกษาหรือการช่วยเหลืออื่น ๆ แก่นักศึกษา จำนวน 1,780 คน และร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกแบบและพัฒนาระบบแจ้งเตือนเหตุทางสังคม ESS Help Me (Emergency Social Services) เพื่อส่งต่อข้อมูลและความช่วยเหลือแก่เด็กและเยาวชนด้อยโอกาสที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัด