สืบนครบาลรวบ "มีนพระราม3" ภัยร้ายวงการสาวกลางคืน
9 พ.ค. 2567, 12:02
วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ,พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ร่วมจับกุมตัว นายกิตติกร โต๊ะยีหวัง หรือ มีนพระราม3 อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77/55 ม.10 ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.447/2567 ลงวันที่ 7พฤษภาคม 2567
โดยกล่าวหาว่า “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม”
พบประวัติเคยถูกจับกุมตัว เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 59 ในข้อหา “ครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เพื่อจำหน่ายฯ” รับโทษอยู่ในเรือนจำเกือบ 3 ปี พ้นโทษเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 62
จับกุมได้ที่ ห้องพักเลขที่ 59/9 หอพักบ้านโสภี ม.8 ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ จว.เพชรบูรณ์
พฤติการณ์กล่าวคือ “โมเก๊-ทรงเอ” สมญานามของ “บังมีนพระราม3” วายร้ายที่กำลังเขย่าวงการสาวกลางคืน เพราะมันอาละวาดก่อเหตุในพื้นที่นครบาลมาไม่ต่ำกว่า 3 ปีแล้ว โดยแผนประทุษกรรมแสบของมัน เริ่มจากการแฝงตัวอยู่ในกลุ่มไลน์ของเหล่าเด็กเอ็น จากนั้นจะปลอมตัวเป็นโมเดลลิ่งสาวทำทีทักไปหาสาวเอ็นเตอร์เทนโดยพุ่งเป้าไปที่สาวรูปพรรณ หน้าอกใหญ่ และกำลังประกาศหางานภายในกลุ่ม จากนั้นจะเริ่มใช้ทักษะการสนทนาแบบทรงเจ๊ “ป้ายยา” โปรโมทว่ามี “ลูกค้ารวย” สนใจ หว่านล้อมจนทำให้เหล่าสาวเอ็นเตอร์เทนเข้าใจว่าตัวเองโชคดีที่จะได้เจอลูกค้ารายนี้ เมื่อเหยื่อสาวเอ็นหลงกลตกลงรับงานจากคนร้ายแล้ว มักจะนัดหมายเหยื่อไปในสมรภูมิของมันคือย่าน “พระราม3” ซึ่งก่อนจะเจอกันคนร้ายจะให้เหยื่อสาวไปถอนเงินในบัญชีมาเป็นเงินสดให้หมด โดยใช้อุบายว่าได้เดิมพันกับเพื่อนไว้ ว่าเด็กเอ็นเตอร์เทนวันนี้พกเงินสดมาเท่าไหร่ ถ้าใครทายถูกก็จะได้เงินจากการเดิมพัน หากชนะพนันจะนำเงินที่ชนะพนันมาแบ่งให้กับเหยื่อสาว เมื่อเหยื่อถอนเงินสดมาไว้เต็มกระเป๋าแล้วเดินทางมาถึงจุดนัดพบ คนร้ายจะแปลงกายจากโมเดลลิ่งในแชทไลน์มาปลอมตัวเป็น “ลูกค้า” ทำทีโอ้อวดว่าเป็นเสี่ยก่อน คนร้ายจะเดินเกมต่อโดยใช้เทคนิค “ไม่จ่ายเงินก่อน” จนกว่าจะเสร็จงานอันเป็นการเหนี่ยวรั้งเหยื่อไว้ ซึ่งหากเหยื่อรายใดท้วงติง คนร้ายจะเกทับด้วยการคุยโวว่าจะจ่ายเงินเพิ่มซึ่งบางรายถูกบังคับให้สไลด์หนอนให้คนร้ายตลอดทางไปที่พัก ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการเผด็จศึก โดยที่แสบทรวงคือเหยื่อจะถูกกระทำอย่างรุนแรงมาก และกระทำเป็นจำนวนหลายครั้ง บางรายทนไม่ไหวก็จะถูกข่มขู่ว่ามีอาวุธปืนทำให้เหยื่อกลัวและจำยอม แล้วท้ายสุดยัง “แอบฉกเงินสด” ในกระเป๋าของเหยื่อก่อนจะหนีหายไป โดยบางรายถูกลวงให้ไปซื้อของ บางรายถูกลวงไปปล่อยทิ้งข้างทาง ปล่อยเหยื่อรอเก้อแล้วหายตัว เรียกได้ว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อนั้น “เสียทั้งตัวและเสียทั้งตังค์” เหยื่อบางรายเกือบคิดสั้นเพราะเงินสดที่ถูกมันขโมยไปนั้นแทบจะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของเหยื่อ ที่น่าตกใจกว่าคือเมื่อเหล่าสาวเอ็นได้มีการสำรวจกันในวงการจนทราบว่ามีคนตกเป็นเหยื่อมาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ราย แต่เกือบทั้งหมดไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดีเพราะอับอาย ถูกข่มขู่ว่าจะปล่อยคลิปลับ ได้แต่พากันสาปแช่งเท่านั้น ล่าสุดได้มีเหยื่อสาว 2 ราย ได้ขอความช่วยเหลือเพจสายไหมต้องรอด โดยประสาน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. โดยได้พาเธอเข้าแจ้งความดำเนินคดี เข้าสู่กระบวนการสอบสวนกระทั่งตอนนี้ออกหมายจับคนร้ายรายนี้ได้แล้ว คือ นายกิตติกร หรือ มีนพระราม3 อายุ 33 ปี
โดย พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ส่งชุดสารวัตรแจ๊ะไล่ล่าติดตามตัว โดยทราบเบาะแสว่าปัจจุบันคนร้ายไปอยู่ในกลุ่มแก๊งใหญ่ย่านพระราม 3 ชุดสืบสวนแกะรอยจนทราบว่าแหล่งมั่วสุดคือ ร้านขายขนมภายในซอยเจริญราษฎร์ 7 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม จ.กรุงเทพ แต่เป็นเพียงฉากหน้า เพราะหลังร้านนั้นเป็นแหล่งผลิตน้ำกระท่อมขาย หลังชุดสืบสวนซุ่มดูอยู่ 10 ชั่วโมง จึงนำกำลังบุกเข้าไปตรวจสอบภายในร้าน พบอุปกรณ์การผลิตและนำกระท่อมสำเร็จรูปจำนวนมาก แต่ไม่พบตัวคนร้าย ซึ่งพวกของคนร้ายในร้านได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนว่าคนร้ายพึ่งจะหลบหนีไปที่ จ.นนทบุรี และในขณะเดียวกันคนร้ายได้ทราบว่าชุดสืบสวนได้บุกมาที่นี่ คนร้ายได้ส่งข้อความไลน์มาว่า “เดี๋ยวไปมอบเอง ไม่ต้องหา จ้งแจ๊ะไรก็หากูไม่เจอหรอก” พร้อมส่งภาพอาวุธปืนลูกโม่ ท้าทายเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เกมชิงไหวพริบได้เกิดขึ้นเมื่อคนร้ายได้วางแผนปล่อยข่าวสับขาหลอกชุดสืบสวนว่าตนเองอยู่ที่ จ.นนทบุรี แต่ชุดสืบสวนวิเคราะห์พฤติกรรมออกว่าเป็นกับดักลวง “ผมมีพวกอยู่เพชรบูรณ์” ประโยคสั้นๆที่ผู้เสียหายเคยได้ยินจากคนร้ายสะกิดใจนักสืบขึ้นมา แม้เป็นเพียงเบาะแสที่เบาบางแต่มันเป็นเบาะแสเดียวที่มี ชุดสืบสวนพร้อมใจกระโดดขึ้นรถบุกไปตายเอาดาบหน้าตามสัญชาตญาณดิบ กว่า 6 ชั่วโมง ที่ จ.เพชรบูรณ์ ชุดสืบสวนงมเข็มในแดนเขาค้อจนได้เบาะแสจากชายขายใบกระท่อมคนหนึ่งในตัวเมือง จ.เพชรบูรณ์ ว่าพบชายหน้าแปลกมาซื้อใบกระท่อมกับกลุ่มเด็กแสบ ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ไม่มีทางอื่นให้เดินแล้ว ชุดสืบสวนเลือกตามรอยเท้ากลุ่มจนกระทั่งช่วงดึกสงัดไร้เงาผู้คนชุดสืบสวนได้พบกับกลุ่มเด็กซ่องสุมดื่มน้ำกระท่อมกันอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งใกล้ๆตัวเมืองและได้พบคนร้ายสุมหัวอยู่ด้วย กว่า 40ชั่วโมง รอจนกระทั่งรุ่งสางบุกเข้าไปรวบตัวคนร้ายรายนี้ได้สำเร็จ โดยไม่เกิดความสูญเสียใดๆ
ชั้นจับกุม นายกิตติกร ให้การภาคเสธโดยให้การว่า “ตนเคยเป็นระดับหัวจ่าย เคยถูกดำเนินคดีในคดีจำหน่ายยาเสพติดฯ เมื่อปี พ.ศ. 2559 หลังจากพ้นโทษเมื่อปี พ.ศ. 2562 ตนได้หาเลี้ยงชีพด้วยการขับรถรับจ้างและเป็นไรเดอร์รับส่งอาหาร โดยใช้บัญชีเพื่อนสนิทของตนในการทำงาน ในระหว่างที่ตนทำงานรับจ้าง ตนได้มีโอกาสทำงานให้กับ นางเอ (นามสมมติ) โดยที่นางเอเป็นโมเดลลิ่งรับจัดหาเด็กเอ็นในช่วงนี้เองที่ตนได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานด้านโมเดลลิ่งและทำงานร่วมกับนางเอเป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่งมีความรู้ความชำนาญในงานดังกล่าว ตนจึงได้ใช้อุบายโดยการแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มไลน์เพื่อปลอมตัวเป็นโมเดลลิ่งรับจัดหาเด็กเอ็นเตอร์เทนเพื่อไปดูแลลูกค้าในงานต่างๆ และอ้างตัวว่าตนเป็นสาวประเภทสองที่ทำงานในด้านนี้มานาน และทำทีพูดคุยว่าจะพาไปหาลูกค้าทำให้เด็กเอ็นฯ หลงเชื่อ โดยภายหลังจากที่ตนติดต่อพูดคุยรายละเอียดงานกับเด็กเอ็นฯในฐานะโมเดลลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนก็จะใช้บัญชีไลน์อีกบัญชีหนึ่งแอบอ้างตัวเป็นลูกค้าเพื่อนัดเจอกับเด็กเอ็นฯเสียเอง โดยตนได้แฝงตัวเป็นโมเดลลิ่งและทำในลักษณะดังกล่าวกับเด็กเอ็นฯหลายรายโดยที่มีบางรายที่ตนเบี้ยวไม่ชำระค่าบริการให้ โดยทำเช่นนี้มาประมาณ 8 คน แต่ไม่ได้มีการขโมยเงิน หรือการข่มขืนตามที่เป็นข่าว และในวันที่ 5 พ.ค. 2567 ตนได้ทราบข่าวจากเพื่อนในกลุ่มว่าตนว่ามีภาพของตนออกรายการทีวีหลายรายการโดยรายละเอียดข่าวแจ้งว่าตนได้ลักทรัพย์ผู้เสียหายและหลอกผู้เสียหายไปข่มขืนเป็น 100 ราย ซึ่งหลังจากทราบข่าวตนอยู่ในอาการหวาดกลัวและตกใจเพราะตนไม่ได้กระทำดังเช่นข่าวกล่าวอ้าง จนวันที่ 7 พ.ค. 2567 ตนได้หอบเงินและหนีไปอาศัยอยู่กับญาติที่จังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อหาทางสู้คดี ต่อมาวันที่ 7 พ.ค. 2567 ช่วงเวลากลางคืน ตนได้รับทราบจากร้านน้ำกระท่อมว่าตำรวจจากสืบนครบาล ชื่อสารวัตรแจ๊ะ มาบุกที่ร้าน ตนได้โทรไลน์ไปหาคนในร้านกระท่อม ตนได้ส่งภาพอาวุธปืนไปให้หลังจากนั้นเพราะส่งผิด ส่วนที่บอกว่าตนท้าทายนั้น ไม่ได้เป็นการท้าทาย แค่เป็นการพูดตัดบท แล้วในเช้าวันต่อมาขณะที่ตนกำลังนอนพักอยู่ในห้องนอนของญาติที่เพชรบูรณ์ สารวัตรแจ๊ะก็มาปลุกตนถึงเตียง รู้สึกตกใจมากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมตนในตอนเช้าตรู่ เนื่องจากเมื่อคืนกลางดึกยังโทรคุยกับสารวัตรแจ๊ะอยู่เลย ไม่คิดว่าตื่นมาจะเร็วขนาดนี้ ยอมรับจากใจว่าชุดสืบนครบาลชุดนี้เก่งมากที่หาตนเจอได้”
หลังจับกุมตัว ได้นำตัว นายกิตติกร หรือมีนพระราม3 ส่งพนักงานสอบสวนสน.ทุ่งมหาเมฆเพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย